เข้าโหมดดอกเบี้ยขาลงจริงหรือ..??
- anattainfinity
- 28 ก.ย.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 30 ก.ย.
Host Consulting Team (HCT) มีคำตอบ..!!
ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ แนวโน้มยังไง ?
HCT คาดว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ยังคงสูง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (ย่อว่า FED) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เมื่อ 17 กันยายน 68 ที่ผ่านมา โดยตลาดการเงินโลกคาดว่าสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดในขณะนี้คือ FED จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ (พ.ศ.2568) ซึ่งน่าจะเป็นในเดือนตุลาคมและธันวาคม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 3.5%–3.75% อย่างไรก็ตาม วลีเด็ดที่ว่า "สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน" ยังคุกรุ่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ ต่อไป โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดี "ทรัมป์" โดยหากข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ แย่ลง หรือเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าคาด อาจมีการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 เพิ่มเติม แต่หากตลาดหุ้นยังคงลอยขึ้นมากเกินไป หรือเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง โอกาสที่ FED จะปรับดอกเบี้ยลงต่ออาจเป็นเรื่องยากหรือถูกชะลอออกไปในที่สุด และนั่นจะทำให้การปรับลดดอกเบี้ยของ FED รอบนี้อาจเป็นแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น HCT คาดว่า “สถานการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐฯ อาจเกิดขึ้นอีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (พ.ศ. 2568) เพราะระดับเงินเฟ้อที่ต่ำซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากบริษัทผู้นำเข้ากักตุนสินค้าต้นทุนต่ำเข้าคลังจำนวนมากก่อนที่การขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์จะมีผลบังคับใช้ ทำให้เงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมาต่ำกว่าการคาดการณ์ของสำนักวิจัยหลายแห่ง แต่ข่าวร้ายคือสินค้าต้นทุนต่ำในคลังเหล่านั้นกำลังหมดลง ทำให้สินค้าที่มีต้นทุนสูงขึ้นหลังจากการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์อาจกำลังเข้าสู่ตลาด ทำให้ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์อย่างเต็มที่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี (พ.ศ. 2568)” และนี่อาจนำไปสู่ "ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันแต่เงินเฟ้อสูง" (Stagflation) ที่น่ากังวลกว่า แล้วทิศทางดอกเบี้ยในไทยจะไปทางไหน ?
หากพิจารณาจากนโยบายการเงินของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตลาดการเงินในไทยยังคงขึ้นกับปัจจัยดังนี้
(1) ปัจจัยทางตรง คือ หนี้ภาคครัวเรือน และ
(2) ปัจจัยทางอ้อม เช่น นโยบายรัฐบาลของคุณอนุทิน และรัฐบาลใหม่อีกชุดหลังเลือกตั้งตามที่คุณอนุทินรับปากว่าจะมีการเลือกตั้งภายใน 4 เดือน ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศอาจเป็นไปได้ทั้งการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Dovish) และนโยบายการเงินแบบแข็งกร้าว (Hawkish) นอกจากนั้น ยังมีแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่นักวิชาการจากหลายสำนักเห็นว่าค่าเงินบาทแข็งเกินปัจจัยพื้นฐาน
HCT เห็นว่าการแข็งค่าของเงินบาทจากปัจจัยการส่งออกทองเป็นเงินบาทอาจเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น หาก FED ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนส่งผลต่อราคาทองโลก แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือผลระยะยาวต่อความสามารถในการส่งออกของไทย โดยหากการส่งออกที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้นเพราะได้รับอานิสงส์จากผู้นำเข้าเร่งกักตุนสินค้าคงคลังก่อนภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์มีผลบังคับใช้ ดังนั้นเมื่อสถานการณ์เร่งกักตุนสินค้าในต่างประเทศจบลง การส่งออกของไทยจึงอาจจะหยุดชะงักหลังจากนี้ ในกรณีเช่นนี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไทยมีความเป็นไปได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากนโยบายการเงินของ ธปท. และนโยบายการคลังของรัฐบาลใหม่สวนทางกันเนื่องจากรัฐบาลใหม่ต้องการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น โครงการคนละครึ่ง อาจเติมเชื้อไฟให้เงินเฟ้อได้ ทุกอย่างจะพันกันไปหมด จนทำให้การคาดทิศทางดอกเบี้ยในระยะสั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้น เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว อัตราดอกเบี้ยในไทยไม่น่าจะขยับลงมาก หรืออาจอยู่ใกล้เคียงระดับเดิม






ความคิดเห็น